The Conversations cover

แฟนคลับเรียกร้องคนดังแสดงจุดยืน ไม่ใช่การบังคับ แต่เป็นความคาดหวังต่อคนที่รัก (กัน)


ในห้วงสถานการณ์การชุมนุมประท้วง มีข้อถกเถียงหนึ่งที่น่าสนใจ กรณีที่ผู้ชุมนุมและผู้ที่อยู่ฝังสนับสนุนการชุมนุมเรียกร้องให้คนดังออกมาแสดงจุดยืนอยู่ข้างผู้ชุมนุม และประณามการสลายการชุมนุม แต่แฟนคลับหลายคนต้องผิดหวังในตัวคนดังที่เขารัก จนเกิดกระแสการแบนดารา-ศิลปิน-คนดัง 

มีฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการเรียกร้องและแบนคนดังตอบโต้ว่า “กลุ่มนี้พาล ไม่ได้ดั่งใจก็ไปด่าเขา” “ไม่เคารพสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น” “คุณมีเสรีภาพในการแสดงออกของคุณ แต่ไม่มีสิทธิ์บังคับคนอื่นแสดงออกในสิ่งที่เขาไม่อยากทำ” ฯลฯ

เราก็เห็นด้วยตามนั้นว่า เรามีสิทธิเสรีภาพในการเลือกที่จะแสดงออก คนอื่นเขาก็มีสิทธิเสรีภาพในการเลือกว่าจะแสดงออกหรือไม่แสดงออกเหมือนกัน อันนี้จะไม่โต้แย้ง ถ้านั่นหมายถึงการเรียกร้อง ด่าทอ และบีบบังคับให้ใครที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันออกมาแสดงออกตามที่ตัวเองต้องการ อีกฝั่งก็คงตอบโต้ได้ว่าพาล ไม่เคารพคนอื่น 

แต่กรณีดารา-ศิลปิน-คนดังกับแฟนคลับนั้นมันต่างออกไป จะเอาแค่เรื่องการเคารพสิทธิเสรีภาพเพียงอย่างเดียวมาตัดสินและสรุปเลยไม่ได้ เพราะระหว่างแฟนคลับกับดารา-ศิลปิน-คนดังมันมีเรื่องทางความรู้สึก ความสัมพันธ์ ไปจนถึงเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเป็นองค์ประกอบสำคัญ ซึ่งเราต้องทำความเข้าใจ 

อย่าลืมว่า ดารา-ศิลปิน-คนดัง กับแฟนคลับมีความสัมพันธ์แบบเกื้อกูลกัน ดารา-ศิลปิน-คนดังมีชื่อเสียงโด่งดัง ได้รับสถานะความเป็นคนพิเศษ และได้รับประโยชน์มาจากการสนับสนุนของแฟนๆ

การที่แฟนคลับตั้งคำถามต่อ ‘การเพิกเฉย’ ของคนดัง และการ call out ให้คนดังออกมาพูด แสดงความเห็น แสดงจุดยืน มันจึงต่างจากการที่ไปเรียกร้องกับคนที่ไม่รู้จักหรือไม่มีความเกี่ยวข้องกัน

ต่างอย่างไร ?

ขออธิบายด้วยเรื่องที่เป็นคอมมอนเซนส์เลยคือ คนเราไม่ค่อยคาดหวังกับคนที่เราไม่รักหรือไม่มีความสัมพันธ์กันหรอก ‘ความคาดหวัง’ มันจะเกิดต่อเมื่อเป็นคนที่มีความสัมพันธ์เข้ามาเกี่ยว คนที่ไม่ได้เป็นแฟนดาราชื่อ A (ชื่อสมมตินะ) ก็คงไม่ไปเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวและเรียกร้องให้คุณ A ออกมา speak up

การที่สังคมฝั่งผู้ชุมนุมและผู้สนับสนุนการชุมนุมเรียกร้องให้ดารา-ศิลปิน-คนดังออกมาแสดงความเห็นอะไรบ้าง มันคือความคาดหวังต่อคนที่เขารักว่า คนที่เขารักและสนับสนุนจะใช้กระบอกเสียงของตัวเองสนับสนุนหรือปกป้องพวกเขาบ้าง และเขาคาดหวังว่าคนที่เขารักคนที่เขาชื่นชอบจะเป็นคนที่มีทัศนคติในทิศทางที่เขาคิดว่ามันถูกมันควร หรือไม่บิดเบี้ยวจนเกินไป 

แต่ก็มีบางกรณี-คนดังบางคนที่แบกความคาดหวังของสังคมวงกว้างเอาไว้ ไม่จำกัดเฉพาะแฟนคลับของตัวเอง นั่นก็คือคนที่เป็นมีภาพลักษณ์เป็น ‘ฮีโร่’ อย่างเช่น พี่ ต. และบรรดาดาราอีกหลายคนที่เป็นทูตหรือร่วมงานกับองค์กรอย่าง UNICEF, UNHCR คนเหล่านี้ย่อมถูกจับจ้องและถูกคาดหวังว่าควรจะออกมาพูดอะไรให้สมกับหมวกที่สวมอยู่

ส่วนสเต็ปถัดมา การแบนศิลปินที่ไม่ออกมาพูด เป็นสิ่งที่หลายคนมองว่าไม่ถูกต้อง เป็นการกระทำที่พาล เป็นการบีบบังคับคนอื่น ละเมิดสิทธิของคนอื่น

เราขอเถียงว่า มันไม่ใช่การบังคับค่ะ การเรียกร้องมันเป็นการบอกความคาดหวัง และเป็นการถามเพราะต้องการคำตอบประกอบการตัดสินใจว่าจะไปต่อกับคนนี้มั้ย 

การแบนมันเป็นทั้งการลงโทษทางสังคม และขณะเดียวกันก็เป็นการตัดสินใจของปัจเจกบุคคล

เราจะพูดแค่ในส่วนการตัดสินใจส่วนบุคคลของแฟนคลับที่จะเลิกสนับสนุนดารา-ศิลปิน-คนดังที่เพิกเฉยต่อสถานการณ์ตอนนี้ มันตัดสินใจด้วยหลักเหตุผลเหมือนกับความรักทั่วๆ ไปนี่แหละ

ความรักมันเป็นเรื่องการแลกเปลี่ยน คือ เราเอาสิ่งที่มีค่า (ใจ) ของเราไปให้เขา เอาไปแลกสิ่งที่มีค่า (ใจ) ของเขา ถ้าแลกกันลงตัวมันถึงอยู่ในความสัมพันธ์กันต่อไปได้ (จะเป็นความรักความสัมพันธ์แบบคนรัก แบบเพื่อน หรือแบบคนดังกับแฟนคลับก็ตามแต่) แต่ถ้าเอาไปแลกแล้วเขาไม่ให้กลับมาเลย ก็ควรหยุด

เมื่อก่อน ตอนที่แฟนคลับเขาสนับสนุนคนดัง คือ แฟนคลับเขาให้คุณค่ากับบางอย่างในตัวคนนั้น เขาจึงเอากำลังกาย กำลังใจ กำลังทรัพย์ไปแลกกับสิ่งที่เขาต้องการได้กลับมา ถ้าเป็นดารา-นักร้อง ‘คุณค่า’ ที่ว่านี้ก็คือผลงานการแสดง ผลงานเพลง ความหน้าตาดี ความน่ารัก ความเป็นกันเอง อะไรต่างๆ

แต่ ณ เวลานี้ สังคม (แฟนคลับ) เขากำลังให้คุณค่ากับการชุมนุมเรียกร้องเพื่อเปลี่ยนอนาคตของประเทศและอนาคตของพวกเขา จากที่เคยเปิดไฟเปิดแฟลชในคอนเสิร์ตหรืองานแฟนมีตติ้ง ตอนนี้พวกเขาเปลี่ยนมาเปิดไฟเปิดแฟลชในที่ชุมนุม สิ่งที่เขาคาดหวังจะได้รับจากดารา-ศิลปิน-คนดังจึงไม่ใช่ผลงานละคร ผลงานเพลง ความเป็นกันเอง หรือรอยยิ้มสดใสน่ารักของคุณเหมือนเมื่อก่อน แต่มันเปลี่ยนเป็นว่า เขาคาดหวังว่าคุณจะให้คุณค่ากับสิ่งเดียวกันกับเขา หวังว่าคุณจะอยู่เคียงข้างเขา หรืออย่างน้อยก็ให้กำลังใจเขาในเส้นทางการต่อสู้นี้

การที่แฟนคลับเรียกร้องให้คนดังออกมาร่วมเรียกร้องหรือยืนข้างผู้ชุมนุม มันคือการที่เขาบอกความคาดหวังของเขา และยื่นคำขาดต่อคนดังคนนั้นว่า เรารักและสนับสนุนคุณมาตลอดนะ ตอนนี้เราอยากให้คุณอยู่เคียงข้างเรา คุณตัดสินใจมาเลยว่าคุณจะอยู่เคียงข้างเราไหม ถ้าคำตอบคือ ไม่ เราเสียใจและผิดหวังนะ เราจะไม่สนับสนุนคุณอีกต่อไป

…นี่คือความหมายที่อยู่ในการเรียกร้องและการแบน

ยังไงก็ตาม คนดังก็มีสิทธิ์เลือกว่าจะออกมาหรือจะเงียบเฉย แต่ไม่ว่าจะเลือกแบบไหนมันก็มีราคาที่ต้องจ่าย มีผลที่ตามมา 

ช่วงที่มีกระแสเรียกร้องเรื่องนี้หนักๆ คนดังบางคนตั้งคำถามว่า เพียงเพราะการไม่ออกมาแสดงจุดยืนเคียงข้างผู้ชุมนุม เรื่องเดียวเองเหรอที่ทำให้แฟนคลับจะไม่สนับสนุนกัน 

ตัวเราเองเข้าใจความรู้สึกในฐานะแฟนคลับนะ เพราะเป็นแฟนคลับศิลปินอยู่เหมือนกัน 

สำหรับคำถามว่า ทัศนคติ จุดยืน และการแสดงออกต่อประเด็นทางการเมืองของคนดัง มีผลต่อความรู้สึกที่เรามีต่อเขามากจนสำคัญกว่าความสุขที่เคยมอบให้กันเหรอ 

คำตอบของเราในฐานะแฟนคลับ คือ แน่นอน ถ้าคนที่เราชอบและสนับสนุนเป็นคนที่เพิกเฉยต่อความเดือดร้อนของประชาชน เป็นคนที่สนับสนุนหรือให้ ‘คุณค่า’ กับบางสิ่งที่เราไม่เข้าใจว่าคุณไปให้คุณค่ากับสิ่งนั้นได้ยังไง เช่น สนับสนุนรัฐบาลเผด็จการที่ใช้อำนาจตามอำเภอใจและกดขี่ประชาชน หรือพากันออกไปชุมนุมเรียกร้องให้มีการรัฐประหาร แน่นอนว่าความรู้สึกที่ชอบและอยากสนับสนุนคนคนนั้นก็ย่อมลดลงหรือหมดไป 

ถ้าบทความชิ้นนี้ผ่านหูผ่านตาดารา-ศิลปิน-คนดังที่ได้พริวิเลจจากแรงสนับสนุนของประชาชน เราอยากชวนให้คุณถามใจตัวเองดูว่า ในเวลาที่ประชาชนเขามีชีวิตยากลำบาก เขาเดือดร้อนจากสภาพเศรษฐกิจ ได้รับผลกระทบจากการบริหารงานของรัฐบาล เขาออกมาต่อสู้เพื่อความหวังจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้น คุณไม่รู้สึกอะไรเลยจริงๆ เหรอ 

ถ้าตัดเรื่องความคาดหวัง-ความผิดหวังของแฟนคลับที่นำมาสู่การเลิกสนับสนุนออกไปก่อน แล้วถ้าคุณลองสนใจมองดูความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในประเทศไทย คุณอาจเห็นว่า มีแฟนคลับบางคนของคุณกำลังเดือดร้อน ตกงาน ขาดรายได้ จนไม่มีเงินมาเปย์คุณเหมือนอย่างเคยแล้ว เขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจเลิกสนับสนุนคุณ แต่ชีวิตเขาอาจจะกำลังลำบากอยู่ 

การเมืองมันไม่ใช่เรื่องไกลตัว มันกระทบกับชีวิตทุกคนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง การที่คนหลายหมื่นหลายแสนหรือนับรวมกันทั่วประเทศน่าจะหลายล้านเขาออกมาต่อสู้เพื่อให้มีชีวิตที่ดีขึ้น แล้วคุณบอกว่า “ผมเลือกเป็นกลางครับ” “เราเลือกเป็นกลางค่ะ” คุณรู้มั้ยมันแปลว่าอะไรได้บ้าง มันแปลว่าคุณไม่สนใจเลยว่าใครจะมีชีวิตยังไง แค่ชีวิตคุณยังดีอยู่ ยังมีคนจ้างทำงานอยู่ก็โอเคแล้ว

แต่คุณลืมไปหรือเปล่าว่างานของคุณมันแปรผันไปตามกระแสความนิยมที่คุณได้รับมาจากประชาชนนะ ถ้าแฟนคลับเลิกตามกรี๊ดคุณ จะมีลูกค้าคนไหนใจดีจ้างคุณเป็นพรีเซนเตอร์ จ้างคุณไปออกงานอีเวนต์อยู่อีกหรือเปล่า ?

ที่พูดมาทั้งหมดมันเป็นการอธิบายเหตุผลทางความรู้สึกที่แฟนคลับมีความคาดหวังต่อคนดัง แต่ถ้าจะสื่อสารกับคนดังตรงๆ ในฐานะมนุษย์ ตัดเรื่องแฟนคลับหรือไม่แฟนคลับออกไป คำถามก็มีแค่ว่า มันยากมากเลยเหรอที่คุณจะเลือกระหว่าง ประชาชนที่ต้องการประชาธิปไตย ต้องการมีส่วนร่วมในการออกแบบประเทศ กับผู้บริหารประเทศที่ไม่ฟังเสียงประชาชน และไม่พาประเทศเดินไปข้างหน้า 


Free YOUTH: ภาพ